การนิรโทษกรรมนั้นเกิดขึ้นมาหลายครั้งในประเทศไทยโดยมักเป็นการนิรโทษกรรมให้กับเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำความผิดในทางการเมือง แต่ในกรณี “นิรโทษกรรมประชาชน“ ที่ประชาชนร่วมกันเข้าชื่อเสนอกฎหมายในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568
ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่การนิรโทษกรรมริเริ่มมาจากประชาชนและมีเป้า หมายที่จะนิรโทษกรรมประชาชนโดยแท้จริง หลังจากเข้าชื่อเสนอกฎหมายยื่นรัฐสภาไปเป็นเวลามากกว่าหนึ่งปี พรบ.ฉบับดังกล่าวกำลังจะเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 9 เมษายนนี้ ดังนั้น ถึงเวลาที่เราจะต้องส่งเสียงเรียกร้องกันอีกครั้ง
“พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน” คือการนิรโทษกรรมความผิดทางการเมือง หรือเป็นการ ‘ยกเลิก’ ความผิดจากการจากการแสดงออกและการชุมนุมทางการเมือง ยุติการดำเนินคดีความทางการเมืองตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยครอบคลุมกับประชาชนที่ใช้เสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง ยกเว้นแต่เจ้าหน้าที่รัฐที่ทำหน้าที่สลายการชุมนุมหรือกระทำเกินกว่าเหตุ และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ในฐานะกบฏ “ล้มล้างรัฐธรรมนูญ”
การนิรโทษกรรม ‘ทุกฝ่าย’ โดยไม่มีการจำกัดว่าอยู่ฝักฝ่ายใดในทางการเมือง แต่ไม่นับรวมเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งกระทำความผิดเกินกว่าเหตุ ซึ่งแตกต่างจากการนิรโทษกรรมในประวัติศาสตร์ไทยก่อนหน้าที่มีลักษณะ “เหมาเข่ง” อันรวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐผู้กระทำความผิด
อีกข้อแตกต่างการนิรโทษกรรมประชาชนครอบคลุมทั้ง คดีตามประกาศและคำสั่งคสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช. คดีพลเรือนในศาลทหาร คดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คดี พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 และที่สำคัญคือ “คดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112”
มาตรา 112 กลายเป็นข้อถกเถียงสำคัญที่ฝั่งรัฐบาลและพรรคร่วมจะไม่ให้การสนับสนุน โดยมีจุดยืนในลักษณานับสนุนการนิรโทษกรรมในทุกคดี ‘แต่ไม่รวมมาตรา 112 ซึ่ง DRG ยืนยันว่า 112 เป็นคดีที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองและต้องถูกรวมในการนิรโทษกรรมครั้งนี้
การนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง นอกจากเป็นการชดเชยให้กับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการออกมาแสดงออกทางการเมือง รวมถึงเป็นการยุติความขัดแย้งทางการเมืองที่เผชิญมาตลอดหลายสิบปี เพราะการไม่มีเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง
การนิรโทษกรรมยังเป็นหลักประกันที่ว่าสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองนั้นมีอยู่จริงในสังคมไทย และที่สำคัญคือการยืนยันว่าประชาชนได้ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้นไม่ใช่ ”ความผิด“ แต่เป็น “สิทธิ” และพวกเขาเป็น ”ผู้บริสุทธิ์“
การแสดงออกทางการเมืองภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้นั้นจำต้องมีการนิรโทษกรรมทางการเมืองเสียก่อน และต้องไม่มีการกีดกันเพราะเป็นความผิดเกี่ยวกับการวิพากษ์ วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ เช่น “มาตรา 112” มิเช่นนั้นความขัดแย้งทางการเมืองจะไม่ได้รับการแก้ไข มีแต่จะสะสมและทวีความรุนแรงในอนาคต
ประชาชนร่วมเข้าชื่อเสนอกฎหมาย นิรโทษกรรมประชาชนตั้งแต่ช่วงวันที่ 1-14 กุมภาพันธ์ 2567 และได้ยื่นต่อสภาผู้แทนราษฎรในเดือนดังกล่าวแต่ก็ยังคงค้างอยู่ในวาระการพิจารณาตั้งแต่นับจากนั้นเป็นต้นมา แต่จู่ ๆ รัฐสภาก็ได้มีการบรรจุให้ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมมาพิจารณาอย่างเร่งด่วนในช่วงก่อนหมดสมัยการประชุม
DRG จึงขอเชิญชวนทุกคนให้ร่วมจับตาการพิจารณาร่างพรบ.นิรโทษกรรมของสภาผู้ทแนราษฎร ในวันที่ 9 เมษายน 2568 นี้ และร่วมส่งเสียกดดันให้รัฐสภาลงมติผ่านพรบ.นิรโทษกรรมประชาชน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการยุติความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น และยืนยันถึงสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองที่เท่าเทียมกัน
https://drgth.co/26062024aa/
https://drgth.co/23042024a/
https://www.ilaw.or.th/articles/6296
https://www.ilaw.or.th/articles/52110
https://www.ilaw.or.th/articles/17321
https://pis.parliament.go.th/…/MeetingAgendaDetailForQR…
https://theactive.thaipbs.or.th/data/amnestypeople
http://wiki.kpi.ac.th/index.php..