เหตุการณ์การสลายการชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่ม ‘คนเสื้อแดง’ โดยรัฐ ในช่วงวันที่ 10 เมษายนและ 19 พฤษภาคม 2553 หรือที่เรียกว่าเหตุการณ์ “เมษาเลือด” และ “พฤษภาอำมหิต”
นับเป็นการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรง มีการใช้อาวุธสงครามและกระสุนจริงต่อผู้ชุมนุมในปฏิบัติการดังกล่าว จนทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 92 คน นับว่าเป็นการสลายการชุมนุมที่รุนแรงที่สุดประวัติศาสตร์การเมืองไทย
เหตุใดการชุมนุมที่เรียกร้องให้มีการยุบสภา ตามกลไกลประชาธิปไตยที่มีเหตุมาจากความไม่พอใจรัฐบาลพลเรือนของพรรคประชาธิปัตย์ กลับถูกรัฐใช้ความรุนแรงและนำไปสู่การเสียชีวิตของประชาชนจำนวนมาก
DRG ชวนย้อนรำลึกถึงจุดเริ่มต้นและรูปแบบการใช้ความรุนแรงที่อำมหิตของผู้ถืออำนาจรัฐ เพื่อทำความเข้าใจปฏิบัติการสลายการชุมนุมที่รัฐใช้ดำเนินการกับคนเสื้อแดงและข้อเท็จจริงที่ไม่สอดคล้องกัน
ตามรายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ในช่วงวันที่ 10 เมษายน 2553 ได้ปรากฏภาพและวีดีโอของ “ ชายชุดดำ” บริเวณสี่แยกคอกวัวและอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย กลุ่มคนดังกล่าวมีอาวุธและได้มีการยิงเข้าใส่ฝั่งเจ้าหน้าที่ รายงานดังกล่าวยังอ้างว่าพบเห็นกลุ่มคนดังกล่าวปรากฏตัวอยู่กับผู้ชุมนุมและการ์ดของนปช. โดยผู้ชุมนุมไม่ได้มีการห้ามปรามชายชุดดำและมีการสนับสนุนซึ่งกันและกัน
ข้อมูลจากคณะกรรมการดังกล่าวซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งในเหตุการณ์ถูกนำเสนอโดยภาคส่วนต่าง ๆ เป็นวงกว้างในสังคม จึงทำให้ ‘ชายชุดดำ’ ดำถูกเรียกขานว่า ‘กองกำลังติดอาวุธ’ และ ‘ผู้ก่อการร้าย’ และกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงจึงถูกทำให้มีความเกี่ยวข้องกับกองกำลังติดอาวุธของตนเอง
หลังจากการปรากฏตัวของ ‘ชายชุดดำ’ หรือผู้ ‘ก่อการร้าย’ ในคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 นั้นก็ได้กลายเป็นข้ออ้างสำคัญในการเริ่มต้นปราบปรามผู้ชุมนุมด้วยความรุนแรง รวมถึงการใช้ ‘กระสุนจริง’ โดยเจ้าหน้าที่รัฐได้เริ่มปฏิบัติการ ‘ขอคืนพื้นที่’ ตั้งแต่ช่วงกลางวันของวันที่ 10 เมษายน แต่ปฏิบัติการดังกล่าวมีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงค่ำหลังจากการปรากฏตัวของชายชุดดำ โดยในเฉพาะคืนที่ 10 เมษายน คืนเดียวนั้นส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 26 ราย แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร 5 นาย และพลเรือน 21 ราย
หลังจากนั้นเป็นต้นมาทั้งรัฐบาลและศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ก็มีการยืนยันอย่างเป็นทางการถึงการให้เจ้าหน้าที่สามารถ ‘ใช้อาวุธ’ ในปฏิบัติการดังกล่าวได้ โดยจากรายงานของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.)
ตั้งแต่เริ่มการชุมนุมจนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่มีการเบิกกระสุนจริงไปใช้จำนวนกว่า 117,923 นัด และกระสุนสำหรับซุ่มยิ่งกว่า 2,120 นัด ทำให้ตลอดช่วงเวลาดังกล่าวมีผู้บาดเจ็บมากกว่า 1,500 คน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 92 คน เป็นพลเรือน 82 คนและเจ้าหน้าที่รัฐ 10 คน โดยกว่าร้อยละ 87 เสียชีวิตจากการถูกยิง
แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นในการชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้น แทบไม่มีความเชื่อมโยงกับชายชุดดำเลย โดยหลักฐานที่ประจักษ์ชัดถึงการมีอยู่ของชายชุดดำนั้นมีเฉพาะในคืนวันที่ 10 เมษายน เท่านั้น ไม่พบการปรากฏตัวอย่างเป็นทางการนับจากเวลาดังกล่าวเป็นต้นไป อีกทั้งคดีชายชุดดำศาลล้วนตัดสินยกฟ้องทั้งสิ้นตั้งแต่ในปี 2564 – 65 และ 2567 เพราะโจทก์ไม่มีน้ำหนักมากพอ
นอกจากนี้เองจากหลักฐานจากการสืบสวนในภายหลังนั้น ศาลได้ยืนยันว่าผู้เสียชีวิตที่เป็นพลเรือน ‘ไม่มีอาวุธที่จะทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐได้’ รวมถึงไม่พบคราบเขม่าดินปืนที่มือและร่างกาย นั่นหมายความว่าผู้เสียชีวิตทุกคนไม่ได้มีปืนเป็นอาวุธ พวกเขาจึงไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้ายตามที่รัฐพยายามกล่าวหา
นอกจากนี้หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ปรากฏภาพของผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมในสื่อมวลชนและภาพข่าวต่าง ๆ ที่ผู้เสียชีวิตนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชุมนุมที่ใส่เสื้อ ‘สีแดง’ ที่มาชุมนุมทางการเมือง และไม่ปรากฏภาพที่พวกเขาถืออาวุธแต่อย่างใด มีแต่เพียงอุปกรณ์การชุมนุมบางชนิดเท่านั้นที่ร่นหล่นอยู่ใกล้กับร่างที่ไร้วิญญาณของพวกเขา
หลักสากลสำหรับการชุมนุมและการสลายการชุมนุมนั้น ล้วนแล้วแต่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าการชุมนุมโดยสงบย่อมได้รับการรับรอง ในส่วนของหลักปฏิบัติโดยเจ้าหน้าที่รัฐนั้น เจ้าหน้าที่จะต้องเคารพและคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิมนุษยชนของบุคคลทุกคน
การใช้กำลังของเจ้าหน้าที่รัฐจะกระทำได้เฉพาะกรณีที่จำเป็นอย่างยิ่งและเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น และการใช้กำลังจะต้อง ‘ได้สัดส่วน’ กับภัยคุกคามที่ต้องเผชิญหน้า รวมถึงเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดการกับการชุมนุมตามหลักชุมนั้นนั้นไม่มีการระบุให้เข้าหน้าที่ใช้ ‘อาวุธปืน’ หรือ ‘กระสุนจริง’
อุปกรณ์ที่ใช้ได้และมีความรุนแรงที่สุดประกอบไปด้วยเพียง ‘กระสุนยาง’และ ‘ปืนช็อตไฟฟ้า’ อีกทั้งการใช้อุปกรณ์ทั้งสองดังกล่าวนั้นยังจำเป็นที่จะต้องมีหลักในการใช้ที่ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายเกินความจำเป็น และที่สำคัญคือต้องไม่รุนแรงถึงแก่ชีวิตโดยเด็ดขาด
ท้ายที่สุดแล้วนั้น จุดเริ่มต้นของการเริ่มต้นสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงโดยรัฐจากการอ้างการมีอยู่ของชายชุดดำนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ ของคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 แต่เพียงเท่านั้น และไม่ได้มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนมากว่าไปว่านั้นเลย
แต่การใช้อาวุธสงครามสลายการชุมนุมต่อคนเสื้อแดงหลังจากนั้นสามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการดำเนินการที่ผิดหลักตามหลักสากลโดยสิ้นเชิง และมีความรุนแรงไม่ได้สัดส่วนเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นปฏิบัติการโดยรัฐที่เราสารถเรียกว่ารัฐได้ ‘กระทำความผิด’ และควรที่จะต้องรับผิดชอบชดใช้ต่อประชาชนผู้เสียหาย ซึ่งก็คือ ‘คนเสื้อแดง’ แม้เวลาจะผ่านมาแล้วกว่าสิบห้าปีก็ตาม
https://www.bbc.com/thai/thailand-52614304
https://www.ptp.or.th/archives/18255
https://www.thairath.co.th/news/politic/2777472
https://www.youtube.com/watch?v=3EVao7BxCiA
https://www.the101.world/puangthong-pawakapan-interview/
https://www.youtube.com/watch?v=-WPCFngybgs
https://thestandard.co/onthisday10032553/
https://thematter.co/…/political-violence-2010/112118…
https://progressivemovement.in.th/…/progre…/report/7384/
https://www.ilaw.or.th/articles/4427
https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/104353
https://www.matichonweekly.com/in-depth/article_307819
https://prachatai.com/journal/2024/10/110896
https://www.khaosod.co.th/…/newspaper…/news_7353728