วันนี้ (14 มิ.ย. 2567) เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตปีที่ 15 กับอีก 1 เดือน ของ “เพ็ญศรี พุ่มชูศรี” หนึ่งในนักร้องชื่อดังแห่งวงสุนทราภรณ์ นอกจากเธอจะเป็นนักร้องที่ประสบความสำเร็จอย่างมากแล้ว วันนี้ DRG อยากเสนอแง่มุมชีวิตของเธออีกแง่หนึ่งที่นักร้องหญิงร่างเล็ก “เหมือนกระปุกตังฉ่าย” ผู้นี้ที่ถูกฟ้องฐาน “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” พร้อมกับสามี (สุวัฒน์ วรดิลก— เขามีนามปากกาว่า รพีพร) เพียงเพราะเหตุผลที่ไม่น่าเป็นไปได้


หลังจากที่สฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้กระทำรัฐประหารรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร (ตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้ก่อนแล้ว) เขาก็ได้ขึ้นปกครองเป็น “พ่อขุน” อุปถัมภ์ค้ำชู “ลูก ๆ” ด้วยมาตรา 17 นั่นเป็นเหตุผลแรก ๆ ที่ทำให้ชีวิตของเพ็ญศรีและสุวัฒน์ที่รุ่งโรจน์เหมือนเปลวสุริยาที่เปล่งประกายยามเย็น กลายเป็นโรยร่วงคล้ายคืนเดือนมืดก็มิปาน เพราะสุวัฒน์นั้นเป็นนักเขียนมือฉมังที่ไม่ได้ถือหางข้างรัฐบาล นั่นยิ่งเข้าเค้าของสฤษดิ์ที่ได้ทำการกวาดล้างคู่แข่งทางการเมือง และจับกุมนักคิดนักเขียนครั้งใหญ่ เช่น ป.บูรณปกรณ์, ส.ธรรมยศ, สุรพล โทณะวณิก (ผู้แต่งเพลง “ใครหนอ”) รวมถึงนักคิด/นักเขียนอีกมากกว่า 40 คน
จนในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2501 ศาลได้ประทับรับฟ้อง เพ็ญศรีและสุวัฒน์ ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 จาก “เพื่อน” ที่เคยเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน (บ้างก็ว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน) ว่าทั้งสองได้ตั้งชื่อสุนัขของพวกเขาตามพระนามของพระเจ้าอยู่หัว (กษัตริย์ภูมิพล) และพระราชินี (ราชินีสิริกิติ์) และยังมีการกล่าวหามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์อีกด้วย


ทั้งสองถูกจับจำคุกทันที โดยศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกสุวัฒน์ 3 ปี และยกฟ้องเพ็ญศรี ทว่าทั้งสองคนจึงขออุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าให้จำเลยทั้งสองมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 มาตรา 98 และให้จำคุกคนละ 5 ปี นั่นทำให้ทั้งสองสู้ในชั้นฎีกาอีกครั้ง และศาลฏีกาพิพากษาแก้ศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้ยกฟ้องคดีนี้ ยกฟ้องเพ็ญศรีคนเดียว เพราะมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย (เพื่อนบ้านคนนั้น) มาก่อน แต่อย่างไรก็ยังจำคุกสุวัฒน์ 5 ปีเพราะว่ามีการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในทางอื่น อาจเพราะมีครั้งหนึ่งที่สุวัฒน์ได้วิพากษ์ถึงรัฐบาลสฤษดิ์ว่า “สร้างบรรยากาศเทิดทูนสถาบันกษัตริย์อย่างผิดสังเกต”
ท้ายที่สุด เพ็ญศรี ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำลหุโทษเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2504 ต่อมาสถานีโทรทัศน์ช่องสี่บางขุนพรหมได้มารับเธอไปบันทึกเสียงเพลง “หนามชีวิต” ที่สถานีโทรทัศน์เพื่อประกอบละครชื่อเดียวกับเพลง เมื่อถึงสถานีเธอก็ร้องเพลงนี้อยู่นาน ทั้ง ๆ ที่ปรกติไม่ต้องใช้เวลามาก เกริ่นเนื้อเพลงไปได้เพียงนิดก็ร้องไห้โฮ ต้องหยุดการบันทึกเสียง เพราะนึกถึงสิ่งที่ตัวเองต้องเจอกับความผิดที่ไม่ได้ก่อ เป็นห่วงและคิดถึงสามีที่ต้องติดคุก

https://youtu.be/ziuRIujgjdY?si=r-qx4-3TNnTeMDn7


คาดว่าทุกคนยิ่งอ่าน ยิ่งเกิดความสงสัยว่า “กะอีแค่หมา” ยังนำมาเป็นคดีความกันได้ ทั้งที่ไม่มีมูลเหตุชัดเจนเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น DRG จึงอยากชวนทุกคนมาถกกันว่า ควรแล้วหรือที่รัฐจะมีอำนาจในการนำกฎหมาย โดยใช้มาตรา 112 อันอยุติธรรม, ไม่ทันสมัย และไร้ขอบเขตในการจำกัดความ มาลากดึง และฉุดกระชากประชาชนผู้บริสุทธิ์เข้าสู่กระบวนการลงทัณฑ์อย่างอยุติธรรม อย่างกรณีของเพ็ญศรีและสุวัฒน์ที่ต้องถูกจำคุกเพราะถูกปรักปรำโดยไม่มีหลักฐานแน่ชัด ควรแล้วหรือที่นักคิดหรือปัญญาชนที่มีความเห็นต่างจากรัฐบาลต้องถูกจับกุม เพียงเพราะความคิดของตน ควรแล้วหรือที่รัฐบาลจะนำพระปรมาภิไธยมาแอบอ้างเพื่อใช้ในการกิจการของตนได้โดยสะดวก

เรื่องโดย น้องอั่งเปา

อ้างอิง
https://www.silpa-mag.com/history/article_7717.
https://www.facebook.com/PensriPhumchusri/posts/10157388768375659/.
https://prachatai.com/journal/2013/09/48783
https://twitter.com/gymnopefic…/status/1318492687675183104
https://www.thaipost.net/main/detail/77550