ในเดือนพฤษภาคม 2568 นี้เป็นการครบรอบ 6 ปี ของ “พระราชพิธีบรมราชาภิเษก” ที่เกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 4-6 พฤษภาคม 2562 ซึ่งถือเป็นการขึ้นครองราชย์ของในหลวงรัชการที่ 10 อย่างเป็นทางการ

​ตลอดเวลา 6 ปีที่ผ่านมามีเหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งแม้ว่าเราจะมีรัฐธรรมนูญ 2560และมีการเลือกตั้งทั้งในปี 2562 และ 2566 ที่ผ่านมานั้น ทั้งสองล้วนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม DRG กลับมองว่าประเทศไทยนั้นกลับอยู่ในระบอบ “กึ่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์” เสียมากกว่า

การจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนขึ้นมาบริหารประเทศ ผูกติดอยู่กับ “สถาบันกษัตริย์” เป็นสำคัญในการเลือกตั้งปี 2566 ที่ผ่านมา การจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปด้วยความยุ่งเหยิงวุ่นวาย พรรคที่ชนะการเลือกตั้งอย่างตัวของพรรคก้าวไกลที่ได้คะแนนกว่า 14 ล้านเสียง กลับถูกกีดกันจากสว.และพรรคร่วมรัฐบาล ด้วยเหตุผลที่ว่าพรรคก้าวไกลมีการเสนอนโยบาย “แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112”

​ทั้ง สว. และพรรคการเมืองจำนวนมากล้วนแล้วแต่นำ “สถาบันกษัตริย์” มาเป็นข้ออ้างในการไม่สนับสนุนพรรคก้าวไกลไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขมาตรา 112 เท่ากับเป็น “การล้มล้างสถาบันกษัตริย์” พรรคก้าวไกลเป็นพวกไม่จงรักภักดีต่อ “ชาติ ศาสนา สถาบันฯ” พรรคก้าวไกลจะ “ล้มล้างการปกครอง” สุดท้ายได้นำมาซึ่งรัฐบาลลูกผสมที่แม้จะมีแนวนโยบายต่างกัน แต่มีจัดร่วมกันอย่างแน่วแน่เพียงการ “ไม่แก้ไขมาตรา 112”

​จะเห็นได้ว่า สมการในการจัดตั้งรัฐบาล ณ เวลานั้นขึ้นอยู่กับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์แต่เพียงเท่านั้น โดยที่ไม่สนใจผลของการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นแล้วเราจึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “สถาบันกษัตริย์” มีอิทธิพลในการจัดตั้งรัฐบาลมากกว่าเสียงของประชาชนที่มาจากการเลือกตั้ง 

การแสดงความเห็นต่อสถาบันกษัตริย์เป็นสิ่ง “ต้องห้าม” ในระบอบประชาธิปไตย ​ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่ได้มีแต่เพียงการเลือกตั้งเท่านั้น แต่จำเป็นต้องมี “เสรีภาพในการแสดงออก” ด้วย แต่หากการแสดงออกในทางการเมืองแล้วนำมาซึ่งการโดนคดีความหรือบทลงโทษนั้น สิ่งนี้เป็นสัญญะของระบบอำนาจนิยม หรือระบอบเผด็จการ ที่การแสดงออกของประชาชนเป็นสิ่งต้องห้ามในสังคม

สถาบันกษัตริย์มีความเกี่ยวข้องกับการปกครองของรัฐในหลายมิติ รัฐบาลมีการจัดสรรงบประมาณให้สถาบันกษัตริย์ในแต่ละปี เป็นหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ที่ต้องลงพระปรมาภิไธยผ่านกฎหมาย รวมถึงอิทธิพลใจการจัดตั้งรัฐบาลที่กล่าวไปก่อนหน้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ย่อมกระทบกับสาธารณะเป็นวงกว้าง เพราะฉะนั้นแล้วในระบอบประชาธิปไตยประชาชนย่อมมีสิทธิชอบธรรมในการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ต่อตัวของสถาบันกษัตริย์

ในความเป็นจริงสิ่งที่เกิดขึ้นคือผู้ที่แสดงความเห็นต่อพระมหากษัตริย์จะต้องถูกดำเนินคดี“มาตรา 112” โดยนับตั้งแต่ปี 2563 ที่ มีผู้ถูกดำเนินคดีอย่างน้อย 279 คน ใน 312 คดี และหลายคนยังถูกคุมขังในเรือนจำเพียงเพราะการแสดงความเห็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์เพียงเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จึงไม่ต่างอะไรกับระบอบอำนาจนิยมรูปแบบหนึ่งที่มีสถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์กลาง ไม่ต่างกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในอดีต

“งบประมาณ” และ “กองทัพ” ของสถาบันกษัตริย์ ที่ปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุลคือ ​อีกลักษณะประการหนึ่งของสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น คือการที่กษัตริย์สามารถที่จะครอบครองทรัพยากรของรัฐได้ โดยปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุลโดยสถาบันอื่นใดของรัฐ อย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ที่แม้ว่าจะมีรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งของ แต่ก็ไม่สามารถที่จะตรวจสอบถ่วงดุลการใช้ทรัพยากรของสถาบันกษัตริย์ได้ 

ในทุกปีรัฐไทยได้มีการจัดสรรงบประมาณให้กับสถาบันกษัตริย์เป็นจำนวนกว่า 3 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยที่หลายทศวรรษที่ผ่านมาสภาผู้แทนราษฎรแทบไม่มีการพิจารณาให้ตัดงบ ไม่มีการตั้งคำถาม หรือไม่มีการอภิปรายถึงงประมาณของสถาบันกษัตริย์เลย 

สิ่งที่เกิดขึ้นคือสภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่เป็นเพียง “ตรายาง” รับรองการใช้งบประมาณให้กับสถาบันกษัตริย์และ​ไม่ใช่เพียงงบประมาณเท่านั้น ในปี 2562 มีการโอนอัตรากำลังทหารภายใต้กองทัพบกให้ไปอยู่ใน “หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์” ทำให้มีทหารที่ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์กว่า 8,000 คน ซึ่งสิ่งนี้ขัดต่อหลักการกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ ที่กษัตริย์ไม่มีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินโดยตรง เช่นเดียวกันกับการจัดสรรงบประมาณ ไม่มีสถาบันใดของรัฐที่ตั้งคำถามกับการมีกองกำลังทหารที่ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์

https://drgth.co/drg_and_ccpc_presented_unlimited…/
https://www.ilaw.or.th/articles/6037
https://progressivemovement.in.th/article/4616/
https://progressivemovement.in.th/article/4509/
https://tlhr2014.com/archives/61621
https://prepp.in/…/e-492-absolute-monarchy-indian