ราษฎรทั้งหลาย เมื่อกษัตริย์องค์นี้ได้ครองราชย์สมบัติสืบต่อจากพระเชษฐานั้น ในชั้นต้นราษฎรบางคนได้หวังกันว่ากษัตริย์องค์ใหม่นี้จะปกครองราษฎรให้ร่มเย็น…

ประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1

ในวันที่คณะราษฎรทำการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อ 89 ปีที่แล้ว ได้อ่านประกาศฉบับหนึ่งที่บรรยายถึงความเลวร้ายของสภาพบ้านเมืองภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อันเป็นเหตุผลที่คณะราษฎรต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองในครั้งนั้น

ทว่าด้วยความที่ประเทศไทยยังคงวนเวียนอยู่กับระบอบเผด็จการที่แอบอิงอยู่กับสถาบันกษัตริย์อยู่เรื่อยมา ประกาศคณะราษฎรฉบับดังกล่าวจึงไม่เคยล้าสมัย เนื้อความในประกาศยังคงบ่งบอกหรือเทียบเคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ได้ไม่มากก็น้อย

แต่การณ์ก็หาได้เป็นไปตามที่คิดหวังกันไม่ กษัตริย์คงทรงอำนาจอยู่เหนือกฎหมายเดิม ทรงแต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้คุณความรู้ให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ ไม่ทรงฟังเสียงราษฎร ปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต มีการรับสินบนในการก่อสร้างและการซื้อของใช้ในราชการ หากำไรในการเปลี่ยนเงิน ผลาญเงินของประเทศ ยกพวกเจ้าขึ้นให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎร กดขี่ข่มเหงราษฎร ปกครองโดยขาดหลักวิชา ปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม…

ประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1

ภายหลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ผ่านไปเพียง 2 วัน ก็มีประกาศแต่งตั้งหัวหน้า คสช. ที่ลงนามโดยภูมิพลอดุลยเดช กษัตริย์ไทยรัชกาลที่แล้ว อันเป็นการรับรองการรัฐประหารครั้งนั้นอย่างเป็นทางการ ซึ่งก็ต้องย้ำด้วยว่าในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั้นกษัตริย์ไม่ได้ต้องยอมรับการรัฐประหารเสมอไป เช่นกบฏยังเติร์กหรือกบฎเมษาฮาวายที่เคยล้มเหลวเพราะฝ่ายกษัตริย์เข้าไปขัดไม่ให้คณะรัฐประหารควบคุมตัว พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ สำเร็จมาแล้ว

การรับรอง คสช. ให้ปกครองประเทศในครั้งนั้น ส่งผลให้เกิดการสืบทอดอำนาจต่อมาเป็นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาในทุกวันนี้ โดยที่ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาก็ก่อเรื่องเลวร้ายทั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชน การทุจริตคอร์รัปชันสารพัดกรณี (คงยังไม่ลืมเรื่องอย่างอุทยานราชภักดิ์หรือนาฬิกาเพื่อน) การซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เอาใจกองทัพไปเป็นหลักหมื่นล้านบาท หรือกระทั่งในสถานการณ์โรค COVID-19 ก็มาบีบคั้นประชาชนให้ต้องเสียสละทั้งที่ฝ่ายตัวเองปล่อยปละละเลยให้เกิดการระบาดใหญ่ ครั้นจะหาวัคซีนมาป้องกันโรคก็มัวแต่จะหาช่องทำคะแนนให้กับบริษัทของกษัตริย์และเอื้อประโยชน์นายทุนใหญ่จนเกิดความปั่นป่วนไปหมด

รัฐบาลของกษัตริย์ได้ถือเอาราษฎรเป็นทาส (ซึ่งเรียกว่าไพร่บ้าง ข้าบ้าง) เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ไม่นึกว่าเป็นมนุษย์ เหตุฉะนั้น แทนที่จะช่วยราษฎร กลับพากันทำนาบนหลังราษฎร จะเห็นได้ว่า ภาษีอากรที่บีบคั้นเอาจากราษฎรนั้น กษัตริย์ได้หักเอาไว้ใช้ปีหนึ่งเป็นจำนวนหลายล้าน…

ประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1

ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561 เป็นต้นมา มีการจัดตั้ง “ส่วนราชการในพระองค์” ให้กษัตริย์มีกองกำลังส่วนตัวคอยรับใช้ตามอัธยาศัยของตัวเองโดยตรงทั้งพลเรือนและทหาร ล่าสุดในปี 2562 รัฐบาลออก พ.ร.ก. โอนเอากรมทหารราบ 2 กรมไปอยู่ใต้สังกัดส่วนราชการในพระองค์ คิดเป็นอัตรากำลังพลถึง 4,372 นาย (1 กรม มีทหาร 2,186 นาย)

ส่วนราชการในพระองค์นี้ตั้งและใช้จ่ายงบประมาณรวม 5 ปี คิดเป็นเงินถึง 40,747 ล้านบาท (เฉลี่ยปีละ 8,149 ล้านบาท) โดยที่แทบไม่เปิดเผยรายละเอียดอะไรเลยว่ามีการใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง แน่นอนว่างบประมาณเหล่านี้ก็มาจากภาษีของประชาชนที่ต้องทำมาหากินนั่นเอง

รัฐบาลของกษัตริย์ได้ปกครองอย่างหลอกลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎร มีเป็นต้นว่าหลอกว่าจะบำรุงการทำมาหากินอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ครั้นคอยๆ ก็เหลวไป หาได้ทำจริงจังไม่ มิหนำซ้ำกล่าวหมิ่นประมาทราษฎรผู้มีบุญคุณเสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้กิน ว่าราษฎรยังมีเสียงทางการเมืองไม่ได้ เพราะราษฎรโง่…

ประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1

คสช. ทำรัฐประหารเข้ามาด้วยข้ออ้างว่าจะปราบโกง จะปฏิรูปประเทศ จะคืนความสุขให้คนในชาติ แต่สุดท้ายแล้วเราก็ได้เห็นว่า คสช. ทุจริตคอร์รัปชันเสียยิ่งกว่ารัฐบาลไหนๆ การปฏิรูปก็เป็นเพียงวาทกรรมเพื่อผูกขาดการออกกฎหมายเฉพาะที่ตัวเองต้องการหรือที่เอื้อประโยชน์กับตัวเอง ส่วนการคืนความสุขที่เคยเอามาแต่งเป็นเพลงกล่อมประชาชน ทุกวันนี้ก็เลิกเปิดไปแล้ว

ต่อมา คสช. เขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจ มีบทเฉพาะกาลกำหนดให้มี ส.ว. 250 คนที่มาจากการคัดเลือกโดย คสช. ที่มีกันอยู่แค่ 15 คน แต่กลับมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีได้เหมือนกับ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนกว่า 35 ล้านคน นับเป็นการดูถูกสติปัญญาของประชาชน มองว่าประชาชนไม่มีความสามารถในการเลือกผู้นำที่ดีโดยลำพังได้ ต้องมีคนของตัวเองคอยไป “ช่วย” เลือกให้ด้วย

พวกเจ้ามีแต่ชุบมือเปิบและกวาดทรัพย์สมบัติเข้าไว้ตั้งหลายร้อยล้าน เงินเหล่านี้เอามาจากไหน? ก็เอามาจากราษฎรเพราะวิธีทำนาบนหลังคนนั้นเอง… ความจริงควรเอาเงินที่พวกเจ้ากวาดรวบรวมไว้มาจัดบำรุงบ้านเมืองให้คนมีงานทำ จึงจะสมควรที่สนองคุณราษฎรซึ่งได้เสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้ร่ำรวยมานาน แต่พวกเจ้าก็หาได้ทำอย่างใดไม่ คงสูบเลือดกันเรื่อยไป เงินเหลือเท่าไหร่ก็เอาไปฝากต่างประเทศ คอยเตรียมหนีเมื่อบ้านเมืองทรุดโทรม ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก การเหล่านี้ย่อมชั่วร้าย…

ประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1

นอกจากงบประมาณที่ได้รับไปในส่วนราชการในพระองค์ปีละกว่า 8,000 ล้านบาท กษัตริย์ยังถือครองที่ดินทั่วประเทศกว่า 4 หมื่นไร่ ถือหุ้นในบริษัทใหญ่ๆ ได้เงินปันผลเฉลี่ยปีละกว่า 7,500 ล้านบาท ทั้งที่ความมั่งคั่งของกษัตริย์แต่ในอดีตนั้นมีที่มาจากการเกณฑ์แรงงานหรือใช้อำนาจถือประโยชน์ในฐานะที่ตัวเองเป็นหนึ่งเดียวกับรัฐ เมื่อเปลี่ยนเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้วทรัพย์สินเหล่านี้ควรตกเป็นของส่วนรวม ทว่ากษัตริย์กลับรวบเอาไว้เป็นของตัวเอง

นอกจากนี้หลายปีที่ผ่านมากษัตริย์ยังได้พาครอบครัวและบริวารทั้งชายหญิงนับร้อยชีวิตไปอยู่อาศัยระยะยาวที่ประเทศเยอรมนี เกิดเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการเดินทาง การเช่าที่พัก เบี้ยเลี้ยงต่างๆ ซึ่งก็มาเบียดเอาจากภาษีของประชาชน เพิ่งมีช่วงตั้งแต่ปลายปี 2563 เป็นต้นมาที่กลับมาอยู่ไทยเป็นเวลานานเนื่องจากประชาชนประท้วงต่อต้านอย่างหนัก และประเทศปลายทางก็เริ่มไม่อยากต้อนรับ

ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร

ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง

ประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1

กว่า 89 ปีมาแล้วที่ประเทศไทยพยายามเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นประชาธิปไตยให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ แต่ในความเป็นจริงเรายังคงต้องอยู่กับเผด็จการซ่อนรูป ทั้งสถาบันกษัตริย์ก็ยังคงเป็นใจกลางของปัญหาไม่ต่างจากยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์

แต่ประชาชนในวันนี้ไม่เหมือนอดีต ปีที่ผ่านมาเรากล้าพูดถึงปัญหาที่แท้จริงต่อสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา แม้สถานการณ์ปัจจุบันอาจมีเรื่องที่ไม่เป็นใจอยู่บ้าง แต่เรายังยืนยันที่จะต่อสู้เรียกร้องให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยต่อไป เพื่อที่ในวันหนึ่งจะสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าประเทศนี้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง

ดูภาพจำลองการอ่านประกาศคณะราษฎร ในรูปแบบคลิปโฮโลแกรม
https://web.facebook.com/watch/?v=199736734633519