112: คดีที่ร้ายแรงที่สุดของยุคสมัย
มาตรา 112 หนึ่งในบทบัญญัติที่ถูกพูดถึงมากที่สุด และก่อให้เกิดคดีความที่ร้ายแรงที่สุดในยุคสมัยนี้ มาตราที่ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องเผชิญกับโทษจำคุกที่สูง ซึ่งกระทบต่อชีวิตและอนาคตของคนธรรมดาอย่างรุนแรง อย่างกรณี พ.ร.บ. #นิรโทษกรรมประชน ที่ถูกยกขึ้นมาถกอย่างเข้มข้นในสภา
ท่ามกลางสถานการณ์นี้ ชื่อของ ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือ “ลูกเกด” หนึ่งในผู้ที่ต้องเผชิญหน้าคดีมาตรา 112 เธอเริ่มต้นเส้นทางจากการเป็นนักศึกษาที่เข้าร่วมกิจกรรมต่อต้านการรัฐประหาร และก้าวสู่บทบาทนักเคลื่อนไหวและทำกิจกรรมใน DRG ตั้งแต่ช่วงนั้น ปัจจุบันเธอคือสมาชิกสภาผู้แทนชุดปัจจุบัน
แม้จะต้องมีบทบาทพูดแทนเสียงประชาชนในรัฐสภา แต่ลูกเกดยังคงต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้คดีมาตรา 112 ที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์จากการปราศรัยเพื่อเรียกร้องสิทธิการประกันตัวนักโทษทางการเมืองหน้าศาลจังหวัดธัญบุรีในปี 2564
ลูกเกดยืนยันว่า “เป็นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลประยุทธ์ ที่แก้ไขและออกกฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์หลายฉบับ ตามข้อเท็จจริงที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย ไม่ได้เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์”
การปราศรัยไม่มีถ้อยคำหยาบคาย เป็นไปตามบริบทกฎหมายที่กล่าวมา
30 กันยายน 2568 ลูกเกดมีนัดหมายฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หากศาลพิพากษายืนตามคำตัดยืนศาลชั้นต้นจำคุก เธอต้องเข้าเรือนจำ นั่นจะหมายถึงการพ้นจากตำแหน่ง สส. ทันที
เธอย้ำถึงหลักยึดมั่นของตัวเองว่า “เราชัดเจนว่า เราต่อสู้หรือสิ่งที่เราทำอยู่ เพราะว่าเราอยากได้สังคมที่มันมีอนาคตมากกว่านี้ เราอยากเห็นสังคมที่มันดีขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นแล้วก็พยายามทำทุกวันให้เต็มที่ที่สุด ให้ดีที่สุด จะได้ไม่ต้องเสียใจหลังจากที่ไม่ว่าคำพิพากษาหรือสิ่งที่ตามมาหลังจากนี้มันคืออะไร”
สิ่งหนึ่งที่ลูกเกดยืนหยัดและตั้งใจทำใน DRG และตลอดทั้งชีวิตของเธอมาตลอดคือการพูดถึง สิทธิมนุษยชน และการทำหน้าที่ในฐานะ สส. ด้วยอุดมการณ์ที่มุ่งมั่น ให้สภาเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน เช่น งบประมาณของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเธอมองว่าเป็นงบประมาณจากภาษีของประชาชนที่เกี่ยวข้องกับทุกคน
เรื่องราวของลูกเกด สะท้อนให้เห็นถึงความร้ายแรงของของมาตรา 112 ซึ่งไม่ได้เป็นประโยชน์กับใครเลย