ในการชุมนุมเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2564 ตำรวจได้ใช้รถฉีดน้ำแรงดันสูงดับไฟที่เผาไหม้ซุ้มเฉลิมพระเกียรติ ขัดกับคำกล่าวอ้างของตำรวจก่อนหน้านี้ว่าใช้ช่วยเหลือเหตุอัคคีภัยไม่ได้ และเวลาต่อมาเกิดเหตุรถคุมผู้ต้องขังขับพุ่งชนผู้ชุมนุมโดยที่ไม่จอดดูอาการผู้ถูกชน (ที่มา: Voice TV, The Reporters)

ใน #ม็อบ12กันยา ที่ผ่านมา เราได้เห็น 2 เหตุการณ์ที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว ที่หากเป็นในระบอบประชาธิปไตยตามมาตรฐานสากลโลกคงไม่มีโอกาสได้พบเจอ แต่เพราะที่นี่คือประเทศไทย เราจึงได้เห็นกัน

เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ “ซุ้มเฉลิมพระเกียรติ” หรือป้ายโฆษณาชวนเชื่อสถาบันกษัตริย์ที่ประเทศนี้ละลายงบประมาณไปปีละหลายร้อยล้านบาท ทันใดนั้นรถฉีดน้ำแรงดันสูงของตำรวจที่เอาไว้สลายการชุมนุมก็ถูกประยุกต์ใช้เป็นรถดับเพลิงได้อย่างทันสถานการณ์ ผิดกับข้อแก้ตัวของตำรวจก่อนหน้านี้เมื่อถูกตั้งคำถามว่าทำไมไม่นำไปดับเพลิงไหม้โรงงานต่างๆ ที่อ้างว่ารถไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อการนั้น

คืนเดียวกันนั้นเอง รถอีกประเภทหนึ่งของตำรวจได้ขับพุ่งเข้าชนผู้ชุมนุมคนหนึ่งจนล้มกระเด็น เป็นภาพชัดติดกล้องของสื่อมวลชน แล้วแล่นหนีไปอย่างรวดเร็ว มาอ้างในวันรุ่งขึ้นว่าขับหนีผู้ชุมนุมคนอื่น ไม่จอดเพราะกลัวตาย (เจตนาหรือไม่นั้น ขอให้ตัดสินกันจากภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเอง แต่ต่อให้ไม่เจตนา ภาพที่ออกมาก็แสดงถึงความไม่แยแสต่อชีวิตของคนที่ตัวเองไปกระทำแม้แต่น้อย)

ระบอบอะไรกันที่ทำให้ทำให้เจ้าหน้าที่ของบ้านเมือง ที่ควรจะปกปักรักษา ห่วงหาอาทรต่อชีวิตของประชาชน กลับกลายเป็นไร้สำนึกความเป็นมนุษย์ หันหน้าหนีจากคนตัวเป็นๆ ไปประคบประหงมแต่กับเครื่องโฆษณาชวนเชื่อของผู้มีอำนาจ

ประเทศไทยอยู่กับระบอบที่เห็นบางคนเป็นเทพ เห็นคนอื่นเป็นฝุ่น มานานมาก เรามารอดูกันว่าความน่าขยะแขยงนี้จะอยู่ต่อไปได้นานแค่ไหน

https://twitter.com/ThePeopleS…/status/1437036766154747911
https://www.facebook.com/TheReportersTH/posts/3096362953947417